free counters

ลิงค์เนื้อหาเพิ่มเติม
https://aiat.or.th/
https://www.sas.com/
https://today.line.me/
https://mgronline.com/


 

นวัตกรรมของAI : Artificial Intelligence

นวัตกรรมของ Artificial Intelligence

1 นวัตกรรม AI เทรนด์อสังหาริมทรัพย์ยุค 4.0
ความเคลื่อนไหวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งแรกของปี 61 มีหลายอย่างที่น่าสนใจ ตั้งแต่จำนวนการเปิดตัวโครงการใหม่ที่น้อยลงกว่าปีก่อนๆ โดยอสังหาฯ ในรูปแบบของ “ทาวน์เฮ้าส์” แถบชานเมือง กลับเปิดขายใหม่มากกว่าคอนโดมิเนียม เป็นผลมาจากราคาที่ดินในเมืองที่ปรับตัวสูงขึ้น เมื่อโครงการไม่ได้ตั้งอยู่ในทำเลทอง ผู้พัฒนาอสังหาฯ จึงต้องสร้างจุดแข็งใหม่ ที่เห็นชัดๆ ในปีนี้คือการนำนวัตกรรม AI มาใช้ดึงดูดความสนใจของลูกค้าในยุค 4.0 AI (Artificial Intelligence)  หรือ ปัญญาประดิษฐ์ คือการทำให้คอมพิวเตอร์ที่มีความสามารถคล้ายมนุษย์ เช่น สื่อสารได้ด้วยภาษาที่มนุษย์ใช้ คิดหาคำตอบและแก้ไขปัญหาได้อย่างมีเหตุผล ในแวดวงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ นวัตกรรม AI ถูกนำมาใช้เพื่อยกระดับการซื้อ-ขาย และมอบประสบการณ์แปลกใหม่เพื่อกระตุ้นความสนใจของผู้ซื้อ เช่น การนำ Chatbot มาใช้ตอบคำถามลูกค้า บน Social Media  หรือการสร้าง AI เพื่อแจ้งเตือนความปลอดภัยภายในบ้าน สั่งการเปิด-ปิดไฟฟ้าผ่านทางแอปพลิเคชันบนมือถือ ตั้งแต่ต้นปีมานี้ เราได้เห็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในไทยหลายๆ ราย นำนวัตกรรม AI มาสร้างสีสัน อาทิ แสนสิริ ที่มีหุ่นยนต์ “น้องแสนดี” ช่วยส่งจดหมายและพัสดุถึงมือลูกบ้าน ขณะที่ทางฝั่งอนันดาก็ประกาศปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจสู่ UrbanTech ใช้นวัตกรรม AI เป็นตัวขับเคลื่อนการบริหารจัดการโครงการที่อยู่อาศัยในเครือ แม้แต่ทางฝั่งเว็บไซต์ซื้อ-ขายอสังหาริมทรัพย์ก็ยังไม่พลาดเทรนด์นี้ เว็บดังอย่าง DD property ก็นำนวัตกรรม AI มาใช้ทั้งบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน และไม่ใช่เฉพาะโครงการอสังหาริม ทรัพย์ใหม่ๆ เท่านั้นที่นวัตกรรม AI เข้ามามีบทบาท ในประเทศญี่ปุ่น วงการอสังหาฯ ประสบปัญหากับการขาย “บ้านมือสอง” คนขายไม่กล้าขาย คนซื้อไม่กล้าซื้อ เพราะว่าประเมินราคากันไม่ถูก จึงมีการนำนวัตกรรม AI มาใช้เก็บ Big Data เพื่อช่วยประเมินราคาบ้านมือสองได้แม่นยำมากขึ้น ในวงการนี้เกิดขึ้นได้ยากด้วย จะเห็นได้ว่าเทรนด์การซื้อ- ขายอสังหาริมทรัพย์ในยุค 4.0 นวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ๆ คือหัวใจสำคัญ ดังนั้น เจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ควรช่วงชิงโอกาสนี้ สร้างกลยุทธ์ด้วยเทคโนโลยีออนไลน์ ธุรกิจที่ยังไม่มั่นใจว่า จะก้าวไปทางไหนดี ที่ Hero leads เรามีทีมนักการตลาดที่เชี่ยวชาญด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะ และมีการอัพเดทความรู้ใหม่ๆ ในแวดวงอสังหาฯ อยู่ตลอดเวลา จึงพร้อมให้คำปรึกษา และร่วมวางแผนการตลาดให้แบบครบวงจร เพื่อให้คุณและเราก้าวสู่ความสำเร็จ บนโลกดิจิทัลไปพร้อมกัน

2  นวัตกรรมเสียง AI ที่คล้ายเสียงคน จำเป็นมากแค่ไหนในอนาคต? ใครว่าเสียง อืม เอ่อ เป็นเรื่องตลก แสดงถึงความไม่มั่นใจในการสื่อสาร ลองย้อนกลับไปเมื่อสองสามเดือนที่แล้วที่ Google เปิดตัว Duplex ในงาน Google I/O ด้วยความสามารถที่โต้ตอบปลายสายได้ ด้วยเสียงที่แทบเหมือนคนปรกติจนแยกไม่ออกว่าคนพูดหรือ AI พูด และ Google เปิดให้ทดลองใช้ในบางธุรกิจ และเสียงอืม เอ่อ ของ AI ใน Duplex นี่แหละที่ทำให้ปลายสาย ไว้ใจ AI มากขึ้นจนสามารถจบบทสนทนาได้ ซึ่งก็ดี ที่อนาคตเราอาจจะมี AI รับสายไว้จองโต๊ะร้านอาหาร หรือร้านบริการต่างๆโดยอัตโนมัติ แต่คำถามที่ตามมาเป็นชุดคือ มี AI จองบริการตามร้านต่างๆ เพื่อประหยัดเวลาเราแค่สองนาทีเองหรือ เราอาจจะทำเองก็ได้ ที่สำคัญคือ จะดีหรือที่เวลาคนรับสายจาก AI แล้วแยกเสียงปลายสายไม่ออกเลยว่า AI พูดหรือคนพูด? และจริงๆแล้วมันใช้งานได้จริงอย่างที่เปิดตัวหรือเปล่า? แล้วใช้เวลาอีกกี่ปีสำหรับเสียงของ AI ที่คล้ายคนจะเป็นที่นิยมเหมือนสมาร์ทโฟน เพราะถ้าเป็นเทคโนโลยีหรือของใหม่ อย่างไรคนก็ต้องใช้เวลาเรียนรู้และปรับตัว เสียงตอบรับสายที่คล้ายคนจาก AI กำลังแก้ปัญหาอะไรให้คน? มันจำเป็นมากน้อยขนาดไหนที่ AI ต้องมีเสียงคล้ายกับคน? เพราะการที่ AI มีเสียงคล้ายกับหุ่นยนต์อาจจะเป็นเรื่องที่ดีก็ได้ แต่ในมุมมองของ Google เสียงที่เหมือนหุ่นยนต์อาจจะทำให้ปลายสายที่เป็นคนทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะสื่อสารอย่างไรให้ให้หุ่นยนต์รู้เรื่องเหมือนคน (เช่นถ้ารู้ว่าเป็นหุ่นยนต์ ปลายสายอาจจำเป็นต้องพยายามอย่างมากที่ต้องออกเสียงให้ชัดๆ เหมือนเวลาออกเสียงสั่งให้ Siri ใน iPhone นั่นแหละ) ปลายสายก็อาจจะตัดสายไปดื้อๆเลยก็ได้ Google ก็เลยแก้ปัญหาโดยทำให้เสียงของ AI เหมือนคนมากที่สุด เช่นเอาเสียง เอ่อ อือหื้อ ใส่เข้าไปเวลาคุยกับปลายสายด้วย (ซึ่งคำที่ไม่ได้มีความหมายพวกนี้ Google หรือหุ่นยนต์ไหนก็คิดไม่ได้นอกจากมนุษย์) Google กำลังพยายามทำให้ปลายสายรู้สึกอยากคุยกับ AI มากที่สุด และเมื่อ Google เอาเสียง อืม เอ่อ หรือคำที่ไม่ได้มีความหมายใส่เข้าไป ให้ AI แล้วทดลองให้ Duplex ได้คุยกับคนปลายสายจริง ก็พบว่ามันเวิร์คขึ้น Duplex สามารถจบบทสนทนาได้แล้วถึง 80% จากการทดลองทั้งหมด โดยที่ไม่ต้องมีโอเปอเรเตอร์เข้าช่วย การถูกตัดสายก็ลดลง Duplex ถึงจะไม่ได้ประหยัดเวลาในการจองบริการต่างๆให้กับคนมากนัก แต่อย่าลืมว่าหากคนอยากใช้บริการมีภาษาที่ต่างจากผู้ให้บริการ เสียงของ AI ใน Duplex ก็เข้ามาจัดการอุปสรรคเรื่องของภาษาได้ด้วย ไม่ว่ามันจะเวิร์คมากขึ้นแค่ไหน แต่ตอนนี้ Google อยากให้คนไว้ใจ AI โดยการ AI เลียนเสียงว่าเป็นคนจริง Google กำลังทำในสิ่งที่ย้อนแย้งอยู่หรือเปล่า?